บริษัทฯก่อตั้งขึ้นในปี 2537 ด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 5 ล้านบาท โดยกลุ่มเจมาร์ท
เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์
และบังคับคดีทั่วประเทศไทยซึ่งกลุ่มเจมาร์ทมีประสบการณ์และความชำนาญสืบเนื่องจากการดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ
ก่อนเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อมาบริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ
และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตามลำดับ
ปีพุทธศักราช
|
รายละเอียด
|
ปี 2537 |
ก่อตั้งบริษัทฯ เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์
และบังคับคดีทั่วประเทศด้วยทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 5 ล้านบาทแบ่งเป็น 50,000หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
100 บาท
|
ปี 2549 |
ขยายสู่ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกลุ่มแรกมาบริหารและติดตามเร่งรัดหนี้
|
ปี 2554 |
จัดตั้งบริษัทย่อย ลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม และขยายสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์
จัดตั้งบริษัทย่อยได้แก่บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด (“เจเอ็มที พลัส” หรือ “บริษัทย่อย”)
ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 100 เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจใหม่ในอนาคต
เริ่มให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
โดยช่วงแรกเน้นการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้าบุคคลธรรมดาสำหรับรถยนต์ใช้แล้วประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
|
ปี 2555 |
จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส
จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555
เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาทเป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ
1บาทและเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 120 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท
เพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน 105ล้านหุ้นโดยเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ (Right offering)
และดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเป็น 225 ล้านบาท เมื่อวันที่14 พฤษภาคม 2555
ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 75 ล้านหุ้น
และจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของเจมาร์ทและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป
ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว 300 ล้าน
โดยมีกลุ่มผู้หุ้นใหญ่ซึ่งเป็นผู้บริหารหลัก ได้แก่ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)
ถือหุ้นรวมประมาณร้อยละ 75
|
ปี 2556 |
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 บริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด
ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทวินาศภัย
ในวันที่ 26 เมษายน 2556 บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน
25 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่ผ่านกระบวนการทางกฎหมายจากสถาบันการเงิน
|
ปี 2557 |
เปลี่ยนชื่อบริษัทเจเอ็มที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทเจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท
|
ปี 2558 |
บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด(บริษัทย่อย)
ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ
โดยเริ่มเปิดให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เจมันนี่(J-Money) ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2558
|
ปี 2559 |
กในวันที่ 1 กันยายน 2559 บริษัทได้เพิ่มทุนในบริษัท เจ อินชัวรันช์ โบรคเกอร์ จำกัด
ซึ่งทำให้บริษัทย่อยดังกล่าวมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเท่ากับ 5 ล้านบาท
เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ได้อนุมัติการเพิ่มทุนของ
บริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด จำนวน 110,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น และ
อนุมัติการสละสิทธ์ิการเพิ่มทุนในบริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด ทั้งจำนวนให้กับริษัท เจมาร์ท จำกัด(มหาชน)
โดยให้นำเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้น ในที่ประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่
14 ตุลาคม 2559 ซึ่งผู้ถือห้นุได้อนุมัติรายการดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังจาก การสละสิทธ์ิเพิ่มทุนทำให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 9.84 โดยเปลี่ยนแปลงจาก
สถานะจากบริษัทย่อย เป็นเงินลงทุนระยะยาวของบริษัท และบริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด
|
ปี 2560 |
คณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2560 ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที กัมพูชา จำกัด
ในประเทศกัมพูชา เพื่อประกอบธุรกิจติดตามหนี้ โดยบริษัทได้จัดตั้งบริษัทเสร็จในวันที่ 6 มิถุนายน 2560
คณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2560 ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนในบริษัทย่อย บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ
จำกัด โดยเพิ่มทุนจำนวน 27.5 ล้านหุ้นที่ราคาหุ้นละ 10 บาท
ซึ่งภายหลังจากการเพิ่มทุนดังกล่าวทำให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ
300 ล้านบาท
|
ปี 2561 |
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2561 ได้มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้น
และอนุมัติการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้น บริษัท ฟีนิกซ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด
(มหาชน) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เจพี ประกันภัย จากัด
(มหาชน)โดยบริษัทได้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 55
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2561 ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1
เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 0.50 บาท ทำให้จานวนหุ้นเปลี่ยนแปลงเป็น 887,990,872 หุ้น
และมีมติอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 2 (JMT-W2) จำนวนไม่เกิน
221,997,718 หน่วย โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561
ได้มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการได้นำเสนอ
ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2561 ได้มีมติอนุมัติการเลิกกิจการและการชำระบัญชีของบริษัทย่อย JMT
Cambodia Co., Ltd.
|
ปี 2562 |
ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562
ให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกินกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งการขออนุมัติออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มอีก
5,000 ล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นส่วนที่เพิ่มจากวงเงินที่เคยได้รับอนุมัติ โดยมีวงเงินหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น
10,000 ล้านบาท
เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคตของบริษัทอีกจา นวน 1 ข้อ มีข้อความ ดังนี้
“ข้อ 33 ประกอบกิจการประเมินความเสี่ยงภัย การประเมินมูลค่าความเสียหาย การประเมินราคาทรัพย์สิน
การเป็นที่ปรึกษา การให้คาแนะนา การให้บริการตรวจสอบ การสอบสวนเกี่ยวกับอุบัติเหตุ อุบัติภัย
สภาพวินาศภัย กรมธรรม์ประกันภัย การเรียกร้องความเสียหาย
ตลอดจนการเป็นตัวแทนในการดาเนินการดังกล่าวข้างต้นให้กับบุคคล นิติบุคคล บริษัทประกันภัย
ส่วนราชการและหรือองค์การของรัฐ”
วันที่ 23 เมษายน 2562 เปลี่ยนชื่อบริษัท เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จากัด เป็นบริษัท เจมาร์ทอินชัวรันซ์
โบรกเกอร์ จากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท
|