ลักษณะการประกอบธุรกิจ


บริษัทฯก่อตั้งขึ้นในปี 2537 ด้วยทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 5 ล้านบาท โดยกลุ่มเจมาร์ท เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์ และบังคับคดีทั่วประเทศไทย ซึ่งกลุ่มเจมาร์ทมีประสบการณ์และความชำนาญสืบเนื่องจากการดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ ก่อนเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ต่อมาบริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตามลำดับ

ความเป็นมาและพัฒนาการที่สำคัญสรุปได้ดังนี้

ปี 2537

ก่อตั้งบริษัทฯ เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์ และบังคับคดีทั่วประเทศด้วยทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 5 ล้านบาท แบ่งเป็น 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท

ปี 2549

ขยายสู่ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกลุ่มแรกมาบริหารและติดตามเร่งรัดหนี้

ปี 2554
  • จัดตั้งบริษัทย่อย ลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มเติม และขยายสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์
  • จัดตั้งบริษัทย่อยได้แก่บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด (“เจเอ็มที พลัส” หรือ “บริษัทย่อย”) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100 เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจใหม่ในอนาคต
  • เริ่มให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยช่วงแรกเน้นการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้าบุคคลธรรมดาสำหรับรถยนต์ใช้แล้วประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ปี 2555
  • จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555
  • เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 120 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท
  • เพิ่มทุนชำระแล้วจำนวน 105 ล้านหุ้นโดยเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ (Right offering) และดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วเป็น 225 ล้านบาท เมื่อวันที่14 พฤษภาคม 2555
  • ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 75 ล้านหุ้น และจัดสรรให้แก่ ผู้ถือหุ้นของเจมาร์ทและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว 300 ล้าน โดยมีกลุ่มผู้หุ้นใหญ่ซึ่งเป็นผู้บริหารหลัก ได้แก่ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นรวมประมาณร้อยละ 75
ปี 2556
  • ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทวินาศภัย
  • ในวันที่ 26 เมษายน 2556 บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่ผ่านกระบวนการทางกฎหมายจากสถาบันการเงิน
ปี 2557

เปลี่ยนชื่อบริษัทเจเอ็มที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทเจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท

ปี 2558

บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด (บริษัทย่อย) ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ โดยเริ่มเปิดให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เจมันนี่ (J-Money) ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2558

ปี 2559
  • ในวันที่ 1 กันยายน 2559 บริษัทได้เพิ่มทุนในบริษัท เจ อินชัวรันช์ โบรคเกอร์ จำกัด ซึ่งทำให้บริษัทย่อยดังกล่าวมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเท่ากับ 5 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
  • ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ได้อนุมัติการเพิ่มทุนของ บริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด จำนวน 110,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น และ อนุมัติการสละสิทธิ์การเพิ่มทุนในบริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด ทั้งจำนวนให้กับบริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) โดยให้นำเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้น ในที่ประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 ซึ่งผู้ถือหุ้นได้อนุมัติรายการดังกล่าว ทั้งนี้ ภายหลังจาก การสละสิทธิ์เพิ่มทุนทำให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 9.84 โดยเปลี่ยนแปลงจาก สถานะจากบริษัทย่อย เป็นเงินลงทุนระยะยาวของบริษัท และบริษัท เจเอ็มที พลัส จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด
ปี 2560
  • คณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2560 ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท เจเอ็มที กัมพูชา จำกัด ในประเทศกัมพูชา เพื่อประกอบธุรกิจติดตามหนี้ โดยบริษัทได้จัดตั้งบริษัทเสร็จในวันที่ 6 มิถุนายน 2560
  • คณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2560 ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนในบริษัทย่อย บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด โดยเพิ่มทุนจำนวน 27.5 ล้านหุ้นที่ราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งภายหลังจากการเพิ่มทุนดังกล่าวทำให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเท่ากับ 300 ล้านบาท
ปี 2561
  • ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2561 ได้มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนพิจารณาอนุมัติการเข้าซื้อหุ้น และอนุมัติการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้น บริษัท ฟีนิกซ์ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เจพี ประกันภัย จากัด (มหาชน) โดยบริษัทได้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 55
  • ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2561 ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 0.50 บาท ทำให้จำนวนหุ้นเปลี่ยนแปลงเป็น 887,990,872 หุ้น และมีมติอนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 2 (JMT-W2) จำนวนไม่เกิน 221,997,718 หน่วย โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 ได้มีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการได้นำเสนอ
  • ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2561 ได้มีมติอนุมัติการเลิกกิจการและการชำระบัญชีของบริษัทย่อย JMT Cambodia Co., Ltd.
ปี 2562
  • ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 ให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกินกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งการขออนุมัติออกและเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มอีก 5,000 ล้านบาทครั้งนี้ จะเป็นส่วนที่เพิ่มจากวงเงินที่เคยได้รับอนุมัติ โดยมีวงเงินหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท
  • เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อรองรับธุรกิจในอนาคตของบริษัทอีกจำนวน 1 ข้อ มีข้อความ ดังนี้ “ข้อ 33 ประกอบกิจการประเมินความเสี่ยงภัย การประเมินมูลค่าความเสียหาย การประเมินราคาทรัพย์สิน การเป็นที่ปรึกษา การให้คำแนะนำ การให้บริการตรวจสอบ การสอบสวนเกี่ยวกับอุบัติเหตุ อุบัติภัย สภาพวินาศภัย กรมธรรม์ประกันภัย การเรียกร้องความเสียหาย ตลอดจนการเป็นตัวแทนในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้กับบุคคล นิติบุคคล บริษัทประกันภัย ส่วนราชการและหรือองค์การของรัฐ”
  • วันที่ 23 เมษายน 2562 เปลี่ยนชื่อบริษัท เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จากัด เป็นบริษัท เจมาร์ท อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท
ปี 2563
  • เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน ) “บริษัทแม่” ได้จำหน่ายหุ้น บริษัท เจเอ็มที เน็ท เวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน ) จำนวน 3.15% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ให้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BTS” โดยวัตถุประสงค์เพื่อดึงบริษัท BTS เป็นพันธมิตรทางธุรกิจและต่อยอดธุรกิจในอนาคต ซึ่งภายหลังจากการจำหน่ายหุ้นดังกล่าว ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) “บริษัทแม่” ลดลงเหลือ 52.63% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ และได้รายงานการจำหน่ายหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563
  • ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้ง ที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ดังนี้ อนุมัติการออกใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ครัง้ ที่ 3 เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Offering) (“JMT-W3”) ในจำนวนไม่เกิน 100,000,000 หน่วย จัดสรรโดยไม่คิดมูลค่า ราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 42 บาทต่อหุ้น อายุใบสาคัญแสดงสิทธิ 1 ปี 6 เดือน
  • อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดสรรให้แก่ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย ครั้งที่ 1 (JMTESOPW1) จำนวนไม่เกิน 3,200,000 หน่วย อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี โดยไม่คิดมูลค่า โดยมีรายละเอียด สำคัญของ JMT-ESOP W1
  • อนุมัติการเพิ่ม ทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 232,155,991 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 554,994,295 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 787,150,286 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 464,311,982 หุ้น มูลค่าที่ ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และอนุมัติการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4.
  • มติอนุมัติออกและเสนอขายหุ้น กู้ วงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
  • อนุมัติการจัดสรรห้นุ สามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 464,311,982 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับ (1) การออกและเสนอขาย JMT-W3 (2) การออกและเสนอขาย JMT-ESOP W1 (3) การใช้สิทธิแปลง สภาพ JMT-W2 เพิ่มเติม ตามอัตราการใช้สิทธิใหม่ และ (4) การเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)
ปี 2564
  • บริษัทฯ ได้จดทะเบียนเลิกกิจการและชำระบัญชี ของบริษัท เจเอ็มที กัมพูชา จำกัด (“JMT Cambodia” หรือ “JMTC”) เสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564
  • 15 กรกฏาคม 2564 บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นบริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทฯ
  • ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 แก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 3 วัตถุประสงค์ของบริษัท มีข้อความดังนี้ “ประกอบกิจการโรงแรม ภัตตาคาร บาร์ ไนต์คลับ ธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านคาเฟ่ (Cafe’) ให้บริการอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่ม ทั้งพร้อมรับประทานในร้าน หรือให้บริการบรรจุเพื่อให้ผู้บริโภคนำไปรับประทานที่อื่น”
  • ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ดังนี้
    • อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 178,368,606.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 787,150,286.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 608,781,680.00 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่ายและครบกำหนดระยะเวลาจัดสรรแล้ว จำนวน 356,737,212 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และอนุมัติการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4.
    • อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 155,970,065.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 608,781,680.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 764,571,745.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 311,580,130 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และอนุมัติการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4.
    • อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 4 (“JMT-W4”) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ในอัตราส่วนการจัดสรรที่ 3.418 หุ้นสามัญที่ได้รับจัดสรร ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (3.418 : 1) จำนวนไม่เกิน 70,500,000 หน่วย จัดสรรโดยไม่คิดมูลค่า ราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 90 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี
    • อนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 311,580,130 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับ (1) เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) (2) รองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 4 (JMT-W4) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน และ (3) รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิภายใต้โครงการ JMT-W2 JMT-W3 และ JMT-ESOP W1 ที่มีการปรับสิทธิโดยการปรับราคาและการใช้สิทธิ
ปี 2565
  • 29 มีนาคม 2565 บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จํากัด (“บริษัทย่อย”) ได้ เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท กสิกร วิชั่น จํากัด ในการดําเนินการร่วมค้า บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค จํากัด (“การร่วมค้า”) ซึ่งประกอบธุรกิจ บริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทย่อยร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 49 และได้ จ่ายชําระเงินลงทุนเริ่มแรก 2 ล้านบาทเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565
  • 29 เมษายน 2565 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของการร่วมค้า มีมติ อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท จากเดิม 4,000,000 บาท เป็น 200,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพื่อจําหน่ายแก่ผู้ถือหุ้น จํานวน 1,960,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของบริษัทย่อย มี มติอนุมัติการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 980,000 หุ้น เป็นจํานวนเงิน 98,000,000 บาท ซึ่งบริษัทย่อยได้จ่ายชําระค่าหุ้นเพิ่มทุนแล้วเมื่อวัน ที่ 11 พฤษภาคม 2565
  • ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของการ ร่วมค้า มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุน จดทะเบียนบริษัท จากเดิม 200,000,000 บาท เป็น 10,000,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพื่อจําหน่าย แก่ผู้ถือหุ้นจํานวน 98,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ต่อ มาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ บริษัทย่อย มีมติอนุมัติการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 49,000,000 หุ้น เป็นจํานวนเงิน 4,900,000,000 บาท ซึ่งบริษัทย่อยได้จ่ายชําระค่าหุ้น เพิ่มทุนแล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565
ปี 2566

23 มกราคม 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการ ได้อนุมัติการเพิ่มทุนในบริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด (“บริษัทย่อย” หรือ “JAM”) และ อนุมัติการสละสิทธิ์การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 9.9 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน ให้กับ บริษัท กสิกร อินเวสเจอร์ จำกัด (“KINVESTURE”) ด้วยมูลค่าการเข้าลงทุนไม่เกิน 3500 ล้านบาท